เอกสารประชาสัมพันธ์ 📄 📗 ✏️ 📋 🖇️
- 📢 แจ้งผลการตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร ของศูนย์เรียนรู้บ้านตาโละ ต.ยะต๊ะ
- 📢 แผนงานความมั่นคงปลอดภัยทางการเงิน (Money Safety MOPH+)
- 📢 ข้อบังคับ สธ. ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทน จนท. ฯ 2566
- 📢 รายการบริการ P&P Fee schedule ปี 2566 ที่คาดว่ายังใช้ต่อปี 2567
- 📢 รายการ PP Fee Schedule 67 สําหรับ รพ.สต. (ข้อมูลวันที่ 11/11/66)
- 📢 เอกสาร ชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบฯ 67 สปสช.เขต 12 สงขลา วันที่ 27-28 พ.ย. 66
public relations
12 มี.ค. 2567
สิทธิบัตรทองหากได้รับความเสียหายจากการรักษา ขอรับเงินช่วยเหลือได้ !
19 พ.ย. 2566
ทำไมมะเร็งปากมดลูกควรป้องกันตั้งแต่เด็ก
ทำไมมะเร็งปากมดลูกควรป้องกันตั้งแต่เด็ก
- มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม เกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) จะติดต่อได้ทางการมีเพศสัมพันธ์ การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV จึงเป็นแนวทางการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
- วัคซีน HPV คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส HPV ทำให้เซลล์ปากมดลูกอักเสบเรื้อรังและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งได้ และวัคซีนชนิดนี้ยังป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนักในเด็กผู้ชายได้อีกด้วย สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี จนถึงอายุ 26 ปี
- ควรฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่เด็กเพราะ วัคซีนชนิดนี้ควรฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์จะมีประสิทธิภาพการป้องกันได้ดีที่สุด หากเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วประสิทธิภาพจะไม่ดีเท่าผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ และควรฉีดในวัยที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี วัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูง 70-90% แม้จะใช้ถุงยางอนามัยก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้ และยังคงต้องมีการตรวจคัดกรองอยู่
- ความแตกต่างของวัคซีน HPV ชนิด 4 และ 9 สายพันธ์ คือ วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธ์ จะเหมาะกับการฉีดให้ผู้ที่มีอายุ 9 ปี ถึง 26 ปี สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก หูดหงอนไก่ ภาวะก่อนมะเร็ง หรือภาวะเซลล์ผิดปกติ ส่วนวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธ์ จะเหมาะกับการฉีดให้ผู้ที่มีอายุ 9 ปี ถึง 45 ปี สามารถป้องกันโรคได้มากขึ้นกว่าเดิม ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก มะเร็งคอหอยหลังช่องปาก และมะเร็งทางศีรษะเเละลำคอ หูดหงอนไก่ ภาวะก่อนมะเร็ง หรือภาวะเซลล์ผิดปกติ
- วัคซีน HPV ห้ามฉีดให้กับผู้ที่มีภาวะภูมิไวเกิน และผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงต่อยีสต์ คนที่เคยฉัดวัคซีนชนิด 2 และ 4 สายพันธุ์ไปแล้ว สามารถฉีดวัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์ เพิ่มอีกได้
- ต้นเหตุคือไวรัส วัคซีนจึงป้องกันได้ ดังนั้นผู้ปกครองควรพาเด็กๆ มาฉีดวัคซีน HPV โดยด่วนนะคะ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในวัยที่ยังสร้างได้ และเพื่อป้องกันโรคร้ายให้กับคนที่คุณรัก หรือท่านใดที่สนใจสามารถเข้ามาฉีดที่โรงพยาบาลรวมแพทย์ฉะเชิงเทราได้เลยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : rpchospital.com
วัคซีน HPV ป้องกันโรคอะไร? ฉีดกี่ครั้ง ตอนไหนบ้าง ?
“วัคซีน HPV” ป้องกันโรคอะไร? ฉีดกี่ครั้ง ตอนไหนบ้าง ?
วัคซีนเอชพีวี หรือที่เรียกกันว่า วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก คือวัคซีนที่ใช้ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก
ปัจจุบันมี 3 ชนิด ได้แก่ ชนิด 2 สายพันธุ์, ชนิด 4 สายพันธุ์ และชนิด 9 สายพันธุ์
วัคซีนเอชพีวีป้องกันโรคอะไรได้บ้าง
นอกจากป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้แล้ว ในเพศหญิงยังป้องกันมะเร็งของอวัยวะอื่นได้อีก ได้แก่
- มะเร็งปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด
- ทวารหนัก
- ช่องปากและคอหอย
ในผู้ชายวัคซีนสามารถป้องกัน
- มะเร็งองคชาติ
- ทวารหนัก
- ช่องปากและคอหอย
นอกจากนี้วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ และชนิด 9 สายพันธุ์ ยังสามารถป้องกันโรคหูดหงอนไก่ของอวัยวะเพศและทวารหนักของทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้อีกด้วย
วัคซีนเอชพีวีฉีดอย่างไร
ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
ควรฉีดก่อนถึงวัยที่มีเพศสัมพันธ์ หรือก่อนติดเชื้อไวรัสเอชพีวีซึ่งจะได้ประโยชน์ในการป้องกันสูงที่สุด
กำหนดการฉีดวัคซีนเอชพีวีขึ้นกับอายุที่เริ่มฉีดวัคซีน ดังนี้
- ก่อนอายุ 15 ปี (ก่อนวันเกิดครบอายุ 15 ปี) ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน
- หลังอายุ 15 ปี ฉีด 3 เข็ม ที่ 0, 2 และ 6 เดือน
- ถ้ามีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง แนะนำให้ฉีด 3 เข็ม ที่ 0, 2 และ 6 เดือน โดยไม่คำนึงถึงอายุ
- กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวี ในเด็กหญิงอายุ 11-12 ปี เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน
- หากเป็นวัคซีน 2 สายพันธุ์ ฉีด 3 เข็มที่ 0, 1 และ 6 เดือน
วัคซีนเอชพีวีมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
- วัคซีนมีความปลอดภัยสูง ยังไม่พบว่ามีการเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนโดยตรง
- อาการข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดยา
- ซึ่งไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 2-3 วัน
- อาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบ ได้แก่ ไข้ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ซึ่งไม่รุนแรงและหายได้เอง
ข้อแนะนำหลังฉีด
- ควรสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีนแต่ละครั้งเป็นเวลา 15 นาที
- ควรคุมกำเนิดหลังจากฉีดวัคซีนครบแล้วอย่างน้อย 1 เดือน
Q: ได้รับวัคซีนเอชพีวียังต้องมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไหม ?
A: แม้ได้รับวัคซีนแล้ว เพศหญิงที่ถึงวัยจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ควรมาเข้ารับการตรวจตามปกติ
ขอบคุณข้อมูลจาก : ChulalongkornHospital.go.th
ฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่เด็ก ลดเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม ข้อมูลระบาดวิทยาปี 2560 พบว่า หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงถึง 8,184 คนต่อปี และมีอัตราเสียชีวิตเกิน 50% นับว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกจึงเป็นแนวทางการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หลักการสำคัญคือ ควรฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และร่างกายอยู่ในวัยที่สร้างภูมิคุ้มกันได้ดีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ขวบขึ้นไปจนถึงอายุ 26 ปี นอกจากป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในเด็กผู้หญิงแล้ว วัคซีนยังป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนักในเด็กผู้ชายได้อีกด้วย
รู้จักวัคซีน HPV
วัคซีน HPV หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) อันเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส HPV ทำให้เซลล์ปากมดลูกอักเสบเรื้อรังและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งได้
สายพันธุ์ HPV
ไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมีมากกว่า 40 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อยมี 2 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 โดยวัคซีนที่ป้องกัน 2 สายพันธุ์นี้สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70% มีชื่อว่า Cervarix ส่วนวัคซีนที่สามารถป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกเช่นเดียวกัน และยังป้องกันโรคหูดที่อวัยวะเพศอีก 2 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์ 6 และ 11 ได้ถึง 95% มีชื่อว่า Gardasil ซึ่งการจะเลือกฉีดวัคซีนชนิดใดนั้น ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์
ฉีดวัคซีน HPV แบบไหนดีที่สุด
- ประสิทธิภาพวัคซีนสูง หากฉีดในวัยที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
- ฉีดในวัยที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี จากงานวิจัยพบว่า ร่างกายของเด็กผู้หญิงสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนี้ได้ดีในช่วง 9 – 15 ปี ซึ่งสามารถฉีดวัคซีนเพียง 2 ครั้ง แต่ได้ประสิทธิภาพเทียบเท่าการฉีด 3 ครั้ง
- ผู้หญิงอายุ 9 – 26 ปี ควรฉีดวัคซีน HPV โดยเน้นให้ฉีดช่วงอายุ 11 – 12ปี
- เด็กผู้ชายอายุ 9 – 26 ปี สามารถฉีดวัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์เพื่อป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนัก เน้นให้ฉีดช่วงอายุ 11 – 12 ปี
วัคซีน HPV ฉีดให้ถูกต้อง
การฉีดวัคซีน HPV ต้องฉีดให้ครบถ้วนทั้งหมด 3 ครั้ง
- ครั้งที่ 1 : ฉีดในวันที่กำหนดเลือก
- ครั้งที่ 2 : ฉีดหลังจากเข็มแรก 1 – 2 เดือน
- ครั้งที่ 3 : ฉีดหลังจากเข็มแรก 6 เดือน
***ในเด็กผู้หญิง หากฉีดเข็มแรกก่อนอายุ 15 ปี สามารถฉีดวัคซีนเพียง 2 ครั้ง ห่างกัน 6 – 12 เดือน
ข้อดีของวัคซีน HPV
- ประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไวรัส HPV
- ผลข้างเคียงน้อยมาก อาจมีอาการปวด บวม คัน ไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน แต่หายได้เอง
- สามารถฉีดร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
- ป้องกันไวรัส HPV ได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย
ผู้ที่ห้ามฉีดวัคซีน HPV
- ผู้ที่ภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) ต่อสารประกอบในวัคซีน
ไวรัส HPV ไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ยังรวมไปถึงมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด และหูดอวัยวะเพศด้วย ดังนั้นการป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีน HPV ให้ครบถ้วนตั้งแต่อายุยังน้อยย่อมช่วยให้ห่างไกลโรคได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณข้อมูลจาก : BangkokHospital.com